จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุใดหิ่งห้อยจึงต้องคู่กับต้นลำพู

หิ่งห้อยเป็นแมลงปีกแข็ง ขนาดเล็ก สามารถทำแสงกระพริบได้ในเวลากลางคืน หิ่งห้อยได้ชื่อว่าเป็นแมลงที่ให้ความสวยงามยามราตรี ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าหิ่งห้อยมักจะเกาะอยู่บนต้นลำพู จึงเกิดข้อสงสัยว่าหิ่งห้อยจะเกาะอยู่แต่เฉพาะบนต้นลำพูเท่านั้นหรือ
สุรเชษฐ จามรมาน หัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า หิ่งห้อย เป็นแมลงปีกแข็ง และ ชอบออกหากินตอนกลางคืน แหล่งที่อยู่ของหิ่งห้อยคือ ตามพุ่งไม้ ตามที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือตามลำธารที่มีน้ำใสสะอาด และที่สำคัญต้องเป็นน้ำนิ่ง รวมไปถึงบริเวณป่าโกงกาง ในระยะตัวเต็มวัยหิ่งห้อยมักจะเกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ ซึ่งต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบขนาดเล็ก ผิวเรียบ ไม่มีขนทำให้ระคายเคืองต่อตัวหิ่งห้อย เช่น ต้นลำพู ตันลำแพน โพทะเล ต้นฝาก ต้นแสม ต้นสาคู และต้นเหงือกปลาหมอ เป็นต้น
แต่เรามักจะเห็นหิ่งห้อยเกาะอยู่บนต้นลำพูเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสันนิษฐานว่าสาเหตุที่หิ่งห้อยชอบเกาะบนต้นลำพูเนื่องจากต้นลำพูเป็นต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มใบหนา และมีใบขนาดเล็กเหมาะสำหรับหิ่งห้อยที่โตเต็มวัยเกาะเพื่อผสมพันธุ์ และเป็นที่ที่เหมาะสำหรับตัวอ่อนอยู่อาศัย เพราะลักษณะโดยทั่วไปของต้นลำพูคือรากของต้นลำพูจะอยู่เหนือพื้นดินระดับที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อน้ำทะเลขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมต้นลำพู แต่ก็มีรากบางส่วนที่น้ำทะเลไม่สามารถท่วมถึง ตัวหนอนของหิ่งห้อยก็จะหนีน้ำขึ้นไปอยู่ในส่วนที่น้ำท่วมไม่ถึง จากสาเหตุผลที่กล่าวมาทำให้ทราบว่าเหตุใดหิ่งห้อยจึงชอบเกาะอยู่บนต้นลำพู แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องพบหิ่งห้อยเกาะอยู่เฉพาะบนต้นลำพูเท่านั้น เรายังสามารถพบหิ่งห้อยบนต้นไม้ชนิดอื่นๆ ได้อีกตามที่กล่าวมาข้างต้น
TIPS คนจีนและคนบราซิลในอดีต มักจับหิ่งห้อยมาใส่ขวดแก้วเพื่อใช้แทนตะเกียงโดยใช้หิ่งห้อยขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 ตัวก็สามารถให้แสงสว่างมากพอที่จะอ่านหนังสือตอนกลางคืนได้เลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)

แยมโรล


วิธีทำแยมโรล:
เตรียมของ
ไข่ 5 ฟอง (ขนาดไซร์ไข่เป็ดบ้านเรา)
น้ำตาล 1 dl
แป้งสาลี 1dlพูนๆ
ผงวนิลา 2 ช้อนชาผงฟู 1ช้อนชา
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมัน พืช 1 ช้อนโต๊ะ+นมสด1ช้อนโต๊ะ
กระดาษ ที่เป็นมันไว้สำหรับทำเค้ก แล้วเค้กจะไม่ติด กับกระดาษ (กระดาษไข สำหรับทำขนม)


1 เอาไข่ + น้ำตาล มาใส่ใน ในเครื่องตี( เครื่องนวดแป้ง)
ประมาณ 10นาทีได้ ดูพอว่าเป็นสีขาวเหมือนครีมนะ

เราก็เอาแป้งสาลี+ผงวนิลา2ชอ้น+ชา ผงฟู +แป้งมัน
มาใส่กระชอนเขย่าๆใส่ผสมคนให้ทั่วแล้ว ตามด้วย นมสดช้อนนึง+น้ำมันพืชรีบคนไม่งั้น ไข่ที่ตีมันจะยุบลง


เปิดไฟเตาอบ 200 ไฟบน+ล่าง

เอากระดาษมารองที่ถาดแล้วเทไข่ที่ตีแล้ว ลงไป แล้วใส่เข้า เตาอบ อบประมาณ 10 นาที

ครีมหน้าเค้ก
ขณะที่รอก็ เอาครีมมาตี ขณะที่ตีในเครื่องต้องนั่งเฝ้าเลยละ ไม่งั้นเดี๋ยวแข็งออกมาเป็นเนยเลยคะประมาณ 5 นาทีได้ อยู่ที่เครื่องตี ด้วยนะคะ เลย แต่ถ้า พลาด ก็ไม่เป็นไร ก็ใช้ได้คะแต่ครีมเนื้อจะแข็งไปสีจะออกมาเป็นสีเนยแข็งเลยคะ แล้วก็เติมน้ำตาล + ผงวนิลาลงไปหน่อยชิมดูตามที่ชอบ

แล้วเอา ผงวนิลา มาใส่กระชอน แล้วเขย่าๆ ลงไปในไข่ที่ตี
แล้วก็เอาน้ำตาลผสมลงไปก็ได้คะถ้าชอบหวานนะ

แล้ว ครบ 10นาที เราก็ เปิดเตาอบดูแล้วใช้ไม้จิ้มดู ถ้าไม่มีแป้งติดออกมาแสดงว่าแป้งสุกคะ

ก็ยกถาดออกมาจากเตา ผึ่งไว้ ให้เย็น

แล้ว เอากระดาษมัน มาวางลงไป แล้ว คว่ำ เค๊กลงไป ในกระดาษ แล้วค่อยๆลอก กระดาษออกมา แล้วคอยจับดูว่า เค๊ก เย็นลงจริงๆ ค่อยแล้วเอาครีมที่ตีมาทาหน้าเค๊ก

เกลี่ยครีมให้ทั่ว แล้วค่อยๆม้วน
แล้วเอาไปใส่ในตู้เย็นเพื่อให้ครีม+เค๊กแข็งตัวสัก1+2ชม.
แล้วมาหั่น (จะทำให้หั่นง่ายขึ้นเค๊กไม่แตกออก) หั่นเป็นชิ้นๆ และ เก็บเข้าตู้ เย็นไว้กินได้ประมาณ 3วันคะ

ที่มา
แยมโรลรูปและวิธีทำ
http://www.pantown.com/market.php?id=10749&name=market6&topic=4&action=view
แยมโรลหน้าเค๊ก
http://www.pantown.com/market.php?id=10749&name=market6&topic=5&action=view

การจัดการทั่วไป

การจัดการทั่วไป
                ความหมายขององค์การ

               มีผู้ให้ความหมายขององค์การไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
               Joseph L. Massie ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ กระบวนการที่กลุ่มบุคคลจัดตั้งขึ้น โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆนั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้"
               Herbert G. Hicks ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ กระบวนการจัดการให
้บุคคลปฏิบัติงานรวมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้"
               Daniel Katz และ Robert Kahn ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ
กระบวนการที่ประกอบด้วยสิ่งนำเข้า(Input) ผ่านกระบวนการผลิตและได้ผลผลิต (Output) ออกมา"
               จากความหมายดังกล่าวต่าง ๆ ข้างต้น สรุปได้ว่า องค์การ (Organization) คือ การรวมตัวของบุคคลต่าง ๆ เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการแบ่งงานกันทำระหว่างผู้เป็นสมาชิก

                วัตถุประสงค์ขององค์การ               วัตถุประสงค์ขององค์การ (Organization Objectives) แบ่งออกได้ ดังนี้

               1. วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ               การดำเนินการองค์การธุรกิจ สิ่งที่องค์การต้องการคือ ความอยู่รอด ความเจริญเติบโต
และความมั่นคงขององค์การสิ่งต่าง ๆเหล่านี้จะแสดงในรูปของ "กำไร" องค์การต้องพยายามทำกำไรให้ได้สูงสุด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจขององค์การ
กำไร คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งอาจจะแสดงในรูปของตัวเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดจากการลงทุนก็ได้

               2. วัตถุประสงค์ในการให้บริการ (Service Objectives)               ในการดำเนินงานขององค์การที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น การประปานครหลวง
การไฟฟ้านครหลวง สิ่งที่องค์การต้องการมิได้หวังผลกำไร แต่ต้องการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อให้
ประชาชนได้รับความพึงพอใจ

               3. วัตถุประสงค์ทางด้านสังคม (Social Objectives)               ทั้งองค์การของรัฐและองค์การธุรกิจจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของประเทศชาติซึ่งโดยปกติวัตถุประสงค์ขององค์การของรัฐก็ คือ การให้บริการแก่สังคมโดยส่วนรวม ส่วนวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจ
นอกจากวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ คือกำไรแล้ว องค์การธุรกิจจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เนื่องจากการประกอบธุรกิจจะต้องสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกหลายฝ่าย ได้แก่
ลูกค้าพนักงานผู้ถือหุ้นเจ้าหนี้หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ซึ่งองค์การธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อบุคคล
ดังกล่าว เช่น ลูกค้า องค์การธุรกิจจะต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าโดยซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงแก่ลูกค้า ไม่ขายสินค้าปลอมปน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบ
ต่อสังคมนั่นเอง
               ความหมายของการจัดการทั่วไป               การจัดการ (Management) หรือการบริหาร คือ ศิลปะในการจัดการให้บุคคลอื่นหรือสมาชิกทำงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้

                หน้าที่และขั้นตอนของการจัดการทั่วไป               ผู้บริหารองค์การมีหน้าที่ในการจัดการหรือการบริหาร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสค์ที่ตั้งไว้
โดยการใช้คน (Men) เงิน (Mony) วัตถุดิบ (Material) และวิธีดำเนินงาน (Method) ขั้นตอนของ
การจัดการประกอบด้วย

               1. การวางแผน (Planning)               การวางแผน เป็นหน้าที่แรกของการจัดการ โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การ
และวิธีปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งการวางแผนจะต้องอาศัยประสบการณ์
การวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต การวางแผนมีความสำคัญ เพราะทำให้
ลดความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการ ไม่เกิดความ
ซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดการประหยัดทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงาน
ต่าง ๆ ในองค์การ การวางแผนเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง
ผู้บริหารระดับกลาง หรือผู้บริหารระดับต้น แผนที่ดีจะต้องสามารถนำไปปฏิบัติได้ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ และเป็นที่ยอมรับของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับแผนนั้น

               2. การจัดองค์การ (Organizing)               การจัดองค์การ คือ การกำหนดโครงสร้างขององค์การ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไป
อย่างมีระเบียบ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ โครงสร้างขององค์การ ปกติจะแสดงในรูปของ
แผนภูมิขององค์การการกำหนดโครงสร้างขององค์การจะต้องสอดคล้องกับลักษณะของกิจการ
ดังนั้นโครงสร้างของแต่ละองค์การจึงอาจไม่เหมือนกัน ในโครงสร้างขององค์การ จะต้องระบุ
หน้าที่และความรับผิดชอบ สายบังคับบัญชา ทำให้สมาชิกในองค์การได้รู้ถึงบทบาทและหน้าที่
ของตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง แสดงให้เห็นถึงการติดต่อประสานงานระหว่างแผนกงานต่าง ๆ
ในองค์การหลักการในการจัดโครงสร้างองค์การ พิจารณาวัตถุประสงค์ขององค์การ แบ่งงานกันทำ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แยกสายการปฏิบัติงานจากสายงานที่ปรึกษากำหนดอำนาจ
หน้าที่และความรับผิดชอบจากระดับบนไปยังระดับล่าง กำหนดจำนวนคนใต้บังคับบัญชาในอัตรา
ที่เหมาะสม โครงสร้างองค์การควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจท
ี่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา พิจารณาการทำงานที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องของเวลา

               3. การจัดบุคคลเข้าทำงาน (Staffing)               การจัดบุคคลเข้าทำงาน คือ การจัดคนเข้าทำงานเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
การจัดบุคคลเข้าทำงานประกอบด้วยขั้นตอน ต่อไปนี้
               3.1 การวิเคราะห์งาน คือ การกำหนดงาน รายละเอียดของงานอย่างชัดเจน
เพื่อกำหนดทิศทางในการทำงานของบุคคลให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล
               3.2 การวางแผนกำลังคน คือ การคาดคะเนจำนวนคนที่หน่วยงานขององค์การต้องการ ระยะเวลาที่ต้องการประเภทและระดับของบุคคลที่ต้องการ
               3.3 การจัดหาบุคคลเข้าทำงาน คือ การแสวงหาบุคคลที่มีความสามารถตามที่
หน่วยงานขององค์การต้องการและการจูงใจให้บุคคลนั้นเข้าทำงานในองค์การ ซึ่งการ
จัดหาบุคคลเข้าทำงานอาจจะได้จากแหล่งภายในหรือแหล่งภายนอกองค์การก็ได้ โดยการ
จัดหาบุคคลจากแหล่งภายในมีข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการอบรมแนะนำงาน เป็นการ
สร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานเดิมได้มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ส่วนข้อดีของการจัด
หาบุคคลจากแหล่งภายนอก คือ ทำให้สรรหาบุคคลได้เหมาะสมกับงาน ได้บุคคลที่มีความรู้
ความสามารถใหม่ ๆ เข้ามาในองค์การและไม่เกิดการขาดแคลนบุคลคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง
งาน
               3.4 การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน คือ การพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติตรง
ตามตำแหน่งานที่องค์การต้องการ วิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานเพื่อจะให้ได้บุคคลที่มีความรู้
ความสามารถ และเหมาะสมที่ดีที่สุด โดยวิธีการสอบคัดเลือก ซึ่งขั้นตอนในการสอบคัดเลือก
บุคคลเข้าทำงานประกอบด้วย
               1) ประกาศรับสมัครบุคคล โดยระบุคุณสมบัติของผู้สมัคร และระบุตำแหน่งงานที่
ต้องการรับสมัครอย่างชัดเจน
               2) เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจ โดยให้ข้อมูลต่าง ๆ แก่ผู้สมัคร รายละเอียดเอกสารต่าง ๆ
ที่ต้องใช้ในการสมัคร และจ่ายใบสมัครให้ผู้สมัครเพื่อนำไปกรอกข้อมูล
               3) ประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิสอบคัดเลือก โดยตรวจดูจากใบสมัครและเอกสารที่
ประกอบการสมัครว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
               4) ดำเนินการสอบคัดเลือก เครื่องมือที่เหมาะสมในการนำไปใช้ในการสอบคัดเลือก
คือ แบบทดสอบ ซึ่งต้องมีลักษณะการใช้ภาษาในแบบทดสอบที่ชัดเจน แบบทดสอบต้องประกอบ
ด้วยคำถามที่ครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ ที่องค์การต้องการจากผู้สมัคร
               5) การสอบสัมภาษณ์และการพิจารณา การสอบสัมภาษณ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้โดย
การสนทนา สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คืออารมณ์และอคติของผู้ทำการสัมภาษณ์ที่มีต่อผู้ถูกสัมภาษณ์
จะต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรม ขั้นตอนหลังจากสัมภาษณ์ จะต้องมีการประชุมพิจารณาข้อมูล
ต่าง ๆ จากใบสมัคร ผลการสอบคัดเลือก ผลการสอบสัมภาษณ์ ประวัติการทำงานจากนายจ้างเดิม ความประพฤติจากสถาบันการศึกษา
               6) ประกาศผลการสอบคัดเลือก หลังจากผ่านขั้นตอนการพิจารณาจากคณะกรรมการ
แล้ว องค์การจะประกาศรายชื่อบุคคลที่ผ่านการสอบคัดเลือก
               7) การตรวจร่างกายและประกาศผล เพื่อเป็นการคัดเลือกบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคติดต่อเข้าทำงานกับองค์การ
หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจร่างกายองค์การประกาศรายชื่อบุคคลเข้าทำงาน
               8) จัดการปฐมนิเทศและบรรจุบุคคลเข้าทำงาน การปฐมนิเทศพนักงานใหม่เป็นการแจ้ง
ให้พนักงานได้ทราบกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์การเป็นการแนะนำสถานที่บริการต่าง ๆ ที่คนงานควรจะได้รับจากองค์การและบรรจุบุคคลเข้าทำงานตามหน่วยงานที่เหมาะสม โดยการทำ
งานขั้นแรกคือการทดลองงานตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดคือ
               9) การติดตามและประเมินผลงาน หลังจากได้บรรจุคนงานให้ปฏิบัติหน้าที่แล้วองค์การ
จะต้องมีหน่วยงานติดตามการทำงานของพนักงาน เพื่อนำมาประเมินผลการทำงานว่ามีความ
เหมาะสมกับหน่วยงานที่บรรจุหรือไม่ เพื่อการนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือโยกย้ายให้
เหมาะสม

               4. การอำนวยการ (Directing)               การอำนวยการ หมายถึง การที่ทำให้บุคคลอื่นปฏิบัติงาน เพื่อให้องค์การบรรลุ
วัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้น ผู้บริหารทุกระดับจึงต้องทำหน้าที่ในการอำนวยการ
ซึ่งประกอบด้วยการจูงใจ การประสานงาน การสื่อสาร และภาวะผู้นำของผู้บริหาร หลักการ
อำนวยการที่ดีคือผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
สร้างทัศนคติที่ดีในการทำงาน จูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน
การมอบหมายงานต้องมีความสมบูรณ์ชัดเจนในคำสั่ง ให้ความสำคัญต่อการสื่อสารภายใน
องค์การ รักษาไว้ซึ่งระเบียบข้อบังคับขององค์การ

               5. การควบคุม (Controlling)               การควบคุม คือ การพยายามทำให้ผลของการปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนงานที่ได้
กำหนดไว้ ระบบการควบคุมประกอบด้วย
               1. การกำหนดมาตรฐานของผลงานในด้านปริมาณ คุณภาพ การใช้ต้นทุน หรือ
ค่าใช้จ่ายที่เสียไป ระยะเวลาที่ใช้
               2. การสังเกตการปฏิบัติงานและการวัดผล โดยการเก็บข้อมูลการปฏิบัติงานของคนงาน และนำข้อมูลที่ได้รับประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยการประเมินผลควรทำทั้งแบบไม่เป็นทางการ
และแบบเป็นทางการ
               1) การประเมินผลแบบไม่เป็นทางการ คือ การสังเกตการณ์และประเมินผลการปฏิบัติ
ตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติงาน
               2) การประเมินผลแบบเป็นทางการ คือ การประเมินผลที่กำหนดระยะเวลาการ
ประเมินผลซึ่งอาจจะกำหนดปีละครั้งปีละ 2 ครั้ง หรือปีละ 3 ครั้ง ตามความเหมาะสมตามสภาพ
ของงานที่จะต้องทำการประเมิน

เมื่อดอกไผ่บาน

เรื่องราวของต้นไผ่  ...มักจะถูกเอ่ยถึงทุกครั้งเมื่อเวลาเข้าป่ากับเด็กๆ
ส่วนมากที่ออกค่ายสิ่งแวดล้อม..ป่าที่ไปเสมอๆคือป่าเบญจพรรณและเต็งรัง
เวลาเห็นบางกอไผ่กำลังออกดอก ที่เรามักเรียกว่าขุยไผ่
นั่นหมายถึงต้นไผ่จะตาย เมื่อออกดอก  หรือเรียกว่า "ไผ่ตายขุย"
.
.
ปกติไผ่กอหนึ่งจะอายุประมาณ 30 ปี เมื่อไผ่ออกดอกและทิ้งเมล็ดไว้ก็ตาย
เมล็ดพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วนจะกระจัดกระจายเต็มไปทั้งป่า
เหมือนที่เรามักได้ยินว่า ตายสิบ จักเกิดแสน ....นั่นเอง
..
..สมดุลธรรมชาติจะเกิดเมื่อมีอาหารเต็มไปทั้งป่าให้กับสัตว์ขนาดเล็กต่างๆ..
ไผ่จะทิ้งใบทุกปีกลายเป็นปุ๋ย..รักษาดิน ..ต้นไม้ใหม่เติบใหญ่ทดแทน
.
.
เก็บน้ำไว้ในลำต้นที่เปรียบเหมือนแท้งค์น้ำขนาดใหญ่ที่ไร้เครื่องสูบ
หมุนเวียนอากาศดีๆ...รักษาความชุ่มชื้น ..สดชื่นไปทั้งโลก
.

ไปเที่ยวหัวหินกัน!!!!

Terracebeachสถานีรถไฟ หัวหิน

หนูหิ่นอินเตอร์


ประวัติหนูหิ่น อินเตอร์
หนูหิ่น อินเตอร์ เป็นผลงานการ์ตูนชุด ของ ผดุง ไกรศรี หรือ "เอ๊าะ" ตีพิมพ์ลงในหนังสือการ์ตูน มหาสนุกตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2538 ต่อมาได้ทำเป็นแบบรวมเล่มและได้รับความนิยม จนนำไปสร้างภาพยนตร์ หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่
หนูหิ่นได้รับการทำเป็นภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากความสนุก ตลก มันส์ ฮา และรวมถึงเนื้อเรื่องที่ทางทีมงานช่วงกันสร้าง เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
หนูหิ่นได้รับการทำเป็นภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากความสนุก ตลก มันส์ ฮา และรวมถึงเนื้อเรื่องที่ทางทีมงานช่วงกันสร้าง เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
ประวัติหนูหิ่น
บ้านเกิด บ้านโนนหินแห่
สถานภาพ โสด
อาหารจานโปรด อาหารอีสานทุกชนิด
ผู้ชายในฝัน คุณทอง พี่ชายข้างบ้าน
ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ คุณมิลค์ คุณส้มโอ คุณพ่อคุณแม่คุณมิลค์


ที่มาth.wikipedia.org/wiki/หนูหิ่น_อิเตอร์

คำคมโดนใจวัยรุ่น

  • 1. การเรียนแม้เหนื่อยยาก ย่อมลำบากอย่าท้อแท้ สุดท้ายที่รอคอยคืออนาคตอันงดงาม
  • 2. ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ใฝ่กตัญญู ใฝ่ความดี
  • 3. ความจริงจังตั้งใจคือกุญแจไขสู่ความสำเร็จ
  • 4. นับถือตัวเอง นับถือผู้อื่น และรับผิดชอบในสิ่งที่ตนทำ
  • 5. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตคือ ตัวเราเอง
  • 6. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตคือการยอมแพ้ตัวเอง
  • 7. การล้มละลายในชีวิตเราคือความสิ้นหวัง
  • 8. คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนใหญ่โตไม่อวด
  • 9. ไม่มีอะไรทีเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่จะเป็นไปได้ยากหรือง่ายเท่านั้นเอง
  • 10. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตไม่คิดได้อย่างไร
  • 11. อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม
  • 12. เพราะแสวงหาไม่ใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญไม่ใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย
  • 13. ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน
  • 14. อำนาจที่ปราศจากเหตุผลคือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
  • 15. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
  • 16. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
  • 17. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่เกิด
  • 18. คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว
  • 19. ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • 20. เมื่อเสียหลีกก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลีกใส่ปีกหาง ค่อยๆคิดค่อยๆทำค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายทาง
  • 21. ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น
  • 22. เมื่อใครสักตนหนึ่งทำผิด อย่าพึ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าเราเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา เราอาจตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
  • 23. อย่าเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นจริง
  • 24. การบริหารคือ การทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
  • 25. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
  • 26. ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
  • 27. คนฉลาดปราศเปรื่องยอมนั่งนิ่งสงวนคำ
  • 28. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
  • 29. ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่าๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
  • 30. ศัตรูที่ว่าร้ายเหลือ ก็ร้ายไม่เท่าเกลือเป็นหนอน
  • 31. เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ดังนั้นจงอย่าประมาท
  • 32. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
  • 33. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
  • 34. ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่
  • 35. ผู้นำที่ฉลาดไม่แสวงหาทรัพย์สินหรือคำสรรเสริญเยินยอมากนัก แต่ถึงไม่แสวงหาผู้นำที่ฉลาดก็ย่อมจะมีทั้งทรัพย์สินและคำสรรเสริญเยินยอ
  • 36. ความเงียบหรือการไม่พูดเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
  • 37. ความหลงตัวและความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าในรูปแบบใดย่อมทำให้อัตตาที่อยู่ในส่วนลึกของเราหม่นหมองและทำให้เรา มองไม่เห็นว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
  • 38. มีความพยายามอยู่ที่ไหน มีความสำเร็จอยู่ที่นั่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือ หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น
  • 39. อย่ามี ศีรษะไว้ให้แค่ผมขึ้น แต่ต้องใช้สมองไตร่ตรองด้วย
  • 40. พอใจเท่าที่มี ยินดีเท่าที่ได้
  • 41. สิ่งที่สอนคนเราไม่ได้ก็คือ “สามัญสำนึก”
  • 42. ไปให้สุดแล้วหยุดที่คำว่าพอ
  • 43. หากเดินตามรอยเท้าคนอื่น ก็ไม่มีวันมีรอยเท้าเป็นของตัวเอง
  • 44. ความพยายามครั้งที่ 100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • 45. การศึกษาคือความรู้ที่ได้มาไม่ใช่สถาบัน
  • 46. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่ายึดติดถือติด
  • 47. อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ
  • 48. ถ้าคนเราไม่ปล่อยวางอดีต ก็จะไม่รู้จักอนาคต
  • 49. มนุษย์แท้จริงแล้วไม่ได้โตด้วยอาหาร แต่โตได้ด้วยความลำบาก
  • 50. ตัดกระดาษต้องใช้กรรไกร แต่ตัดใจต้องใช้เวลา
  • 51. ทำแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
  • 52. จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัว จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
  • 53. ความจริงของคนๆหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด
  • 54. ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
  • 55. เวลาแห่งความสุขผ่านไปไว แต่เวลาแห่งความทุกข์กว่าจะผ่านไปนานแสนนาน
  • 56. พรสวรรค์หรือจะสำคัญเท่าพรแสวง
  • 57. ผิดพลาดไม่ได้แปลว่าล้มเหลว แต่เป็นหนทางที่ทำให้เราเจอสิ่งที่ถูกต้อง
  • 58. เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
  • 59. อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
  • 60. ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
  • 61. เปิดใจให้กว้าง มองการณ์ไกล วางแผนอนาคต มีความรับผิดชอบ
  • 62. ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
  • 63. อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิดและเหตุผล
  • 64. คิดถึงส่วนรวมให้มาก คิดถึงตังเองให้น้อย
  • 65. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
  • 66. อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
  • 67. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
  • 68. อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
  • 69. คนที่ไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
  • 70. ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว
  • 71. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงอย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
  • 72. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
  • 73. จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
  • 74. คำพูดเมื่อพูดไปแล้วสามารถเรียกกลับมาได้ คิดก่อนพูด
  • 75. ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
  • 76. เราซื้อนาฬิกาได้ แต่เราไม่สามารถซื้อเวลาได้
  • 77. ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ ตอนนี้คุณกำลังสบายอยู่แล้วคนที่คุณคอยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
  • 78. ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าทำบนความทุกข์ของคนอื่น
  • 79. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
  • 80. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
  • 81. ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง
  • 82. ตัวเรามีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเรารู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
  • 83. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง
  • 84. อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
  • 85. อย่าไว้ใจใครเกินไป ให้ระวังตัวไว้บ้างเป็นการดี
  • 86. ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่แท้จริง
  • 87. ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อตัวเราเองคนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
  • 88. ตกลงไปในบ่อโสโครก ยิ่งแช่อยู่นานความโสโครกก็ยิ่งจับมากขึ้น
  • 89. งานหนักย่อมเบาลงเมื่อหลายมือช่วยกัน
  • 90. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
  • 91. การสอนที่ดีคือ สอนให้เขารู้จักสอนตัวเอง
  • 92. อ่อนโยนคือ ความแข็งแรงที่ยิ่งใหญ่
  • 93. ความจริงทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดเสมอไป
  • 94. ความเย่อหยิ่งและการถือตัวเป็นศัตรูแห่งมิตรภาพ
  • 95. จะให้เขาดีต่อเรา เราต้องดีต่อเขาก่อน
  • 96. อย่าปฏิเสธการช่วยเหลือที่ดี
  • 97. อย่าพร่ำพรรณนาปัญหาส่วนตัวมากเกินไป
  • 98. การคิดเห็นตัวเองไปในทางต่ำต้อยเป็นการสาปแช่งตัวเอง
  • 99. อย่าโกรธเมื่อคนอื่นมีความเห็นไม่เหมือนเรา
  • 100. จงใจเย็นและอดทน คนเรารับรู้และซึมวับสิ่งต่างๆ ในเวลาช้าเร็วต่างกันไป
ที่มาwww.zoneza.com/คําคมโดนๆ-คําคมกวน-view2511.htm